วันจันทร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2559

วิชาชีพครู

มาตรฐานวิชาชีพครู

 






มาตรฐานความรู
มีคุณวุฒิไมต่ำกว่าปริญญาตรีทางการศึกษาหรือเทียบเทา หรือคุณวุฒิอื่นที่คุรุสภา รับรอง โดยมีความรูดังต่อไปนี้  
1. ภาษาและเทคโนโลยีสำหรับครู
2. การพัฒนาหลักสูตร
3. การจัดการเรียนรู้
 4. จิตวิทยาสำหรับครู
5. การวัดและประเมินผลการศึกษา
6. การบริหารจดการในห้องเรียน
7. การวิจัยทางการศึกษา
8. นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา

9. ความเป็นครู
มาตรฐานที่ 1 ภาษาและเทคโนโลยี
สาระความรู้
          1) ภาษาไทยสำหรับครู
          2) ภาษาอังกฤษหรือภาษาต่างประเทศอื่น ๆ สำหรับครู  
          3) เทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับครู
สมรรถนะ
          1) สามารถใช้ทักษะในการฟัง การพูด การอ่าน การเขียนภาษาไทย เพื่อการสื่อความหมายได้อย่างถูกต้อง
          2) สามารถใช้ทักษะในการฟัง การพูด การอ่าน การเขียนภาษาอังกฤษ หรือภาษาต่างประเทศอื่น ๆ เพื่อการสื่อความหมายได้อย่างถูกต้อง
          3) สามารถใช้คอมพิวเตอร์ขั้นพื้นฐาน
ทักษะภาษาไทยและภาษาอังกฤษนั้นมีการแบ่งทักษะทางภาษาคล้ายคลึงกัน คือ แบ่งเป็น 4ทักษะ คือ ทักษะการพูด การฟัง การอ่าน และการเขียน
ทักษะการฟัง ครูต้องฟังอย่างมีวิจารณญาณ
ทักษะการพูด นับได้ว่าเป็นทักษะที่มีความสำคัญกับผู้ที่จะประกอบวิชาชีพครูมาก ครูควรพูดชัดถ้อยชัดคำ พูดถูกหลักภาษา ในภาษาไทยก็ต้องพูดเสียงควบกล้ำต่างๆชัดเจน
ทักษะการอ่าน ครูต้องมีการขวนขวายในการอ่านเนื้อหาสาระเพิ่มเติมอยู่เสมอ
ทักษะการเขียน ครูต้องมีทักษะในการใช้กระดาน เวลาเขียนกระดานลำตัวจะต้องไม่บังเด็ก และต้องฝึกการเขียนให้มีความสวยงามและเขียนคำศัพท์ต่างๆอย่างถูกต้องด้วย
 นอกจากนี้ในเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ครูจำเป็นต้องเรียนรู้ภาษามือ และอักษรเบลล์ เพื่อจะสามารถสื่อสารกับผู้เรียนได้ และครูต้องเป็นผู้แนะแนวและเป็นผู้วิจัยไปพร้อมๆกันเพื่อพัฒนาพัฒนาการของเด็กอย่างมีประสิทธิภาพ
          สำหรับเทคโนโลยีนั้นจะนำมาประยุกต์ใช้กับการจัดการด้านการสอนของครู เพื่อให้การสอนในห้องเรียนเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด ครูจึงจำเป็นต้องมีความรู้ทางด้านเทคโนโลยีด้วย เพื่อที่จะนำมาใช้ทำสื่อประกอบการสอน เพื่อที่จะให้เด็กเกิดความรู้อย่างเต็มศักยภาพ
มาตรฐานที่ 2 การพัฒนาหลักสูตร
หลักสูตร : กรอการทำการจัดการเรียนการสอน  สามารถแบ่งหลักสูตรออกได้เป็น ๒ กลุ่มใหญ่ๆ คือ หลักสูตรแกนกลางและหลักสูตรสถานศึกษา
หลักสูตรแกนกลาง : เป็นตัวกำหนดว่าเด็กจะต้องมีการเรียนรู้อะไรบ้าง  หลักสูตรจึงเป็นเหมือนกรอบกำหนดความรู้ที่ควรได้รับในแต่ละช่วงอายุ โดยจะกำหนดโครงสร้างที่เป็นสาระการเรียนรู้
หลักสูตรสถานศึกษา : สถานศึกษาต้องนำโครงสร้างของหลักสูตรแกนกลางไปจัดทำเป็นหลักสูตรสถานศึกษา โดยคำนึงถึงสภาพปัญหา ความพร้อม เอกลักษณ์ ภูมิปัญญาท้องถิ่น และคุณลักษณะอันพึงประสงค์
นอกจากนี้สถานศึกษาสามารถจัดทำสาระการเรียนรู้เพิ่มเติม เพื่อให้ผู้เรียนได้เลือกเรียนตามความถนัด ความสนใจ ความต้องการ และความแตกต่างระหว่างบุคคล 
หลักสูตรแบบต่างๆ
หลักสูตรรายวิชา (The Subject Curriculum)  โครงสร้างของเนื้อหาวิชาในหลักสูตร จะถูกแยกออกจากกันเป็นรายวิชาโดยไม่จำเป็นต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกัน
          หลักสูตรกว้าง (The Broad-Field Curriculum) มีจุดมุ่งหมายที่จะส่งเสริมให้การเรียนการสอนเป็นสิ่งที่น่าสนใจและเร้าใจ ช่วยให้ผู้เรียนมีความเข้าใจและสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาวะ
หลักสูตรบูรณาการ (The Integrated Curriculum)
          หลักสูตรแกนเป็นหลักสูตรบังคับให้ทุกคนต้องเรียน อาจเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรแม่บท หรือเป็นตัวหลักสูตรแม่บทก็ได้ จุดเน้นของหลักสูตรจะอยู่ที่วิชาหรืสังคมก็ได้ แต่ส่วนใหญ่จะเน้นสังคมโดยยึดหน้าที่ของบุคคลในสังคม
ทฤษฎีการพัฒนาหลักสูตรของไทเลอร์  แนวคิดในการพัฒนานั้นเริ่มต้นจากคำถามพื้นฐาน ๔ คำถามดังต่อไปนี้
๑. จุดมุ่งหมายอะไรบ้างที่สถานศึกษาต้องการ
๒. ประสบการณ์ทางการศึกษาอะไรบ้างที่สามารถจัดได้และสนองตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้
๓. ประสบการณ์ทางการศึกษาเหล่านั้นจะจัดให้มีประสิทธิภาพได้อย่างไร
๔. จะประเมินได้อย่างไรว่าประสบการณ์การศึกษาที่จัดให้นั้นได้บรรลุผลตามจุดมุ่งหมายที่กำหนด    
โดยมีรูปแบบการพัฒนามี 3 ขั้นตอน คือ
 1. กำหนดจุดประสงค์ของหลักสูตร
 2. การเลือกประสบการณ์การเรียน: จัดลำดับก่อน-หลัง
 3. การประเมินผล
          การพัฒนาหลักสูตรนั้น จะต้องมีความสอดคล้องกับสภาพของสังคม พัฒนาการของผู้เรียน ความเหมาะสม มีการบูรณาการของประสบการต่างๆ มีการประเมินผลในขั้นสุดท้าย การพัฒนาจะต้องมีระบบและต้องอาศัยการพัฒนาอย่างจริงจัง
มาตรฐานที่ 3 การจัดการเรียนรู้
             การเรียนรู้ ตามความหมายทางจิตวิทยา หมายถึง การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบุคคลอย่างค่อนข้างถาวร อันเป็นผลมาจากการฝึกฝนหรือการมีประสบการณ์พฤติกรรมของบุคคลที่เกิดจากการ เรียนรู้จะต้องมีลักษณะสำคัญ
                1. พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปจะต้องเปลี่ยนไปอย่างค่อนข้างถาวร จึงจะถือว่าเกิดการเรียนรู้ขึ้น หากเป็นการ เปลี่ยนแปลงชั่วคราวก็ยังไม่ถือว่าเป็นการเรียนรู้
      2. พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปจะต้องเกิดจากการฝึกฝน หรือเคยมีประสบการณ์นั้น ๆ มาก่อน
หลักการจัดการเรียนรู้
         1. เด็กทุกคนสามารถที่จะเรียนรู้และพัฒนาตนเอง
         2. การเรียนรู้ไม่ได้จำกัดแค่การเรียนในห้องเรียน แต่การเรียนรู้สามารถเกิดได้ในทุกที่
         3. การเรียนรู้ต้องตอบสนองความต้องการของผู้เรียน
4. การเรียนรู้ต้องคำนึงว่าเด็กทุกคนย่อมมีความแตกต่างระหว่างบุคคล ต้องเน้นการพัฒนาในทุกด้าน เพื่อที่จะให้เด็กแสดงศักยภาพของตนเองได้อย่างเต็มที่
          5. ผู้เรียนต้องมีส่วนร่วมในการจัดการเรียนรู้ มีการบูรณาการกับชีวิตประจำวัน
          6. การเรียนรู้ต้องเกิดความรู้ใหม่ 
ทฤษฎีการเรียนรู้
         1. ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behavioral Theory) การเรียนรู้ในสิ่งต่างๆ เป็นการสร้างความสัมพันธ์หรือเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้า กับการตอบสนอง ทฤษฎีที่สำคัญในกลุ่มนี้ได้แก่ ทฤษฎีการเรียนรู้วางเงื่อนไขแบบคลาสสิก หรือแบบสิ่งเร้า
        2. ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มปัญญานิยม (Cognitive theory) การเรียนรู้เป็นผลของกระบวนการคิด ความเข้าใจ การรับรู้สิ่งเร้าที่มากระตุ้น ผสมผสานกับประสบการณ์ในอดีตที่ผ่านมาของบุคคล ทำให้เกิดการเรียนรู้ขึ้น ซึ่งการผสมผสานระหว่าง ประสบการณ์ที่ได้รับในปัจจุบันกับประสบการณ์ในอดีต
เกณฑ์ในการประเมินผล  :  วัดประเมินตามสภาพจริง
มาตรฐานที่ 4 จิตวิทยาสำหรับครู
จิตวิทยาพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการของมนุษย์
ทฤษฎีของพีอาร์เจ มี 4 ระยะคือ
1. ระยะการรับสัมผัส                                                                           
2. ระยะเตรียมการทางสมอง : เหตุผล
3. ระยะเรียนรู้รูปธรรม : รู้จักเปรียบเทียบสิ่งต่างๆ                          
4. ระยะเรียนรู้สิ่งที่เป็นมโนธรรม
ทฤษฎีของฟรอยด์  มี 5 ระยะ คือ
1. ขั้นปาก :เด็กจะมีความสุขอยู่ที่การใช้ปาก
2. ขั้นทวารหนัก : ความสุขอยู่ที่การใช้ทวารหนัก
3. ขั้นอวัยวะเพศ : ความสุขอยู่ที่การผูกพันกับพ่อแม่
4. ขั้นแฝง : ความสุขอยู่ที่การเก็บกดทางเพศ
5. ขั้นสนใจเพศตรงข้าม : ความสุขอยู่ที่การสนใจเพศตรงข้าม
          จิตวิทยาการศึกษา  เป็นศาสตร์ที่ช่วยให้ครูสามารถนำหลักจิตวิทยาไปใช้ในการพัฒนาผู้เรียน เข้าใจความแตกต่างระหว่างบุคคล พัฒนาบุคลิกภาพของผู้เรียน ซึ่งประกอบด้วน 2 ส่วนที่สำคัญ คือ การเรียนรู้และการจูงใจ การจูงใจ จะช่วยในการโน้มน้าวใจให้เขาอยากเรียนมากขึ้น เมื่อเขาได้ทำในสิ่งที่เขาชอบ เขาก็จะเกิดความรู้สึกอยากที่จะเรียนขึ้นมา ครูก็ต้องพยายามที่จะหาวิธีโน้มน้าวใจ ให้เด็กเกิดการอยากเรียนรู้ให้มากที่สุด อาจแบ่งได้ 3 ระยะ คือ
1. ระยะความสนใจ          
2. ระยะความสำเร็จ
3. ระยะเครื่องล่อใจ
          การแนะแนว หมายถึง การช่วยเหลือบุคคลให้ช่วยเหลือตนเองได้ ช่วยบุคคลให้เลือกวิธีการแก้ปัญหา สามารถปรับตัวได้ โดยครูจะเป็นเพียงผู้ที่แนะนำเท่านั้น แต่ผู้ที่จะต้องตัดสินใจก็คือตัวเด็กเอง ครูต้องคำนึงเสมอว่าเด็กทุกคนย่อมมีความแตกต่างกันระหว่างบุคคล ดังนั้นปัญหาที่เกิดกับเด็กแต่ละคนก็ย่อมที่จะแตกต่างกัน ครูก็ต้องช่วยหาทางแก้ไขปัญหาให้กับเด็กในหลายรูปแบบ  เนื่องจากมนุษย์มีลักษณะ ดังนี้
1. มนุษย์มีความแตกต่างกัน                 
2. มนุษย์ต้องการความช่วยเหลือ        
3. พฤติกรรมต่างๆต้องมีสาเหตุ                           
4. มนุษย์ทุกคนมีศักดิ์ศรี
5. มนุษย์มีคุณค่า                                                   
6. ความสุขมาจากการพัฒนาทุกด้าน
ขอบข่าย จิตวิทยาการศึกษา มีดังนี้
1. จิตวิทยาการศึกษา             
2. จิตวิทยาการอาชีพ            
3. จิตวิทยาการแนะแนวสังคม
มาตรฐานที่ 5 การวัดและประเมินผลทางการศึกษา
              การวัดผล หมายถึง กระบวนการเพื่อให้ได้มาซึ่งตัวเลข หรือสัญลักษณ์ที่มีความหมายแทนคุณลักษณะหรือคุณภาพของสิ่งที่วัด โดยใช้เครื่องที่มีประสิทธิภาพหารายละเอียดสิ่งที่วัดว่ามีจำนวนหรือปริมาณเท่าใด
              การประเมินผล (Evaluation)    เป็นกระบวนการพิจารณาหรือตัดสินคุณค่าของสิ่งของหรือการกระทำ โดยเปรียบเทียบกับเกณฑ์ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันได้ และในการตัดสินคุณค่าดังกล่าว มักจะใช้ผลการจากการวัดเป็นข้อมูลพื้นฐานเสมอ
              การประเมินผล (Evaluation) หมายถึง การนำเอาข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้จากการวัดรวมกับการใช้วิจารณญาณของผู้ประเมินมาใช้ในการตัดสินใจ โดยการเปรียบเทียบกับเกณฑ์ เพื่อให้ได้ผลเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง
          การประเมินผลแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
          1. การประเมินแบบอิงกลุ่ม เป็นการเปรียบเทียบคะแนนจากแบบทดสอบหรือผลงานของบุคคลใดบุคคลหนึ่งกับบุคคลอื่น ๆ ที่ได้ทำแบบทดสอบเดียวกันหรือได้ทำงานอย่างเดียวกัน
          2. การประเมินแบบอิงเกณฑ์ เป็นการเปรียบเทียบคะแนนจากแบบทดสอบหรือผลงานของบุคคลใดบุคคลหนึ่งกับเกณฑ์หรือจุดมุ่งหมายที่ได้กำหนด
การวัดและประเมินผลทางการศึกษาจะต้องไม่เน้นการสอบเพียงอย่างเดียว แต่ควรจะประเมินผลตามสภาพจริง เน้นการปฏิบัติควบคู่กันไปด้วย ไม่ควรที่จะแยกการวัดและการประเมินออกจากกิจกรรมการสอนในชั้นเรียน
การประเมินผลการเรียนรู้ต้องนำไปสู่ข้อมูลสารสนเทศเกี่ยวผู้เรียนรอบด้าน โดยต้องใช้เครื่องมือที่หลากหลาย และการเลือกใช้เครื่องมือวัดขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของการประเมิน 
1.การประเมินเพื่อวินิจฉัยผู้เรียน (ก่อนเรียน) เพื่อค้นหาความพอเพียงของความรู้และความสามารถ
2. การประเมินเพื่อให้ข้อมูลย้อนกลับเกี่ยวกับการเรียนการสอน (ระหว่างเรียน) มีจุดประสงค์สำคัญเพื่อตรวจสอบว่าผู้เรียนบรรลุถึงผลการเรียนรู้ที่คาดหวังหรือไม่เพียงใด 
          3. การประเมินเพื่อตัดสินผลการเรียน (หลังเรียน) มีจุดประสงค์เพื่อตรวจสอบว่าผู้เรียนมีความเข้าใจและสามารถประยุกต์ความรู้ได้เพียงใด สมควรผ่านรายวิชานั้นหรือไม่ 
การประเมินแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ
1. Performance Evaluation เป็นการประเมินผู้เรียน โดยวัดตามสภาพจริง โดยอาศัยการปฎิบัติ เกณฑ์ที่ใช้ต้องคำนึงว่าสิ่งที่จะวัดใช้ได้จริง เน้นการวัดแบบปฎิบัติงาน
2. Summative Evaluation เป็นการประเมินผลรวมสรุป มุ่งที่จะหาข้อมูลข่าวสารเพื่อสรุปว่า ผู้เรียนมีระดับผลสัมฤทธิ์ในการเรียนรู้มากน้อยเพียงใด ซึ่งจะนำไปสู่การตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ของครูผู้สอน โดยเฉพาะการให้ระดับคะแนนแก่ผู้เรียนต่อไป  
3. Formative Evaluation เป็นการประเมินว่าผู้เรียนบรรลุวัตถุประสงค์หรือไม่ ถ้าไม่บรรลุวัตถุประสงค์ก็อาจจัดให้มีการซ่อมเสริม เป็นต้น
มาตรฐานที่ 6 การบริหารจัดการห้องเรียน
          การบริหารจัดการห้องเรียน หมายถึง การจัดการกระบวนการทำงาน ประกอบด้วย การวางแผน (planning)  การจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่  การนำเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย การควบคุม เป็นการจัดระเบียบเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย โดยครูจะต้องเข้าใจผู้เรียน มีการเตรียมพัฒนาผู้เรียน ใช้สื่อการเรียนที่เหมาะสม มีการเตรียมการประเมิน ครูจะต้องสามารถวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้นในห้องเรียนได้ ต้องมีการเข้าใจว่าผู้เรียนแต่ละคนย่อมมีความแตกต่างกัน แปรความหวังของครูไปเป็นระเบียบกฎเกณฑ์การจัดห้องเรียนที่มีประสิทธิภาพนั้น จะต้องจัดระเบียบ วางแนวการจัดห้องเรียนที่ดี อาศัยการเริ่มต้นในช่วงแรกให้ดี และปฏิบัติอย่างนั้นมาตลอด จึงจะสามารถบรรลุเป้าหมาย ครูจะต้องจัดกิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อให้เด็กมีการเรียนรู้มากที่สุด
            แนวทางการจัดการห้องเรียน ครูต้องกำหนดข้อควรปฏิบัติให้แก่ผู้เรียน  มีการอธิบายรายละเอียดของงานอย่างเป็นระบบ  ครูต้องกำกับดูแลความเรียบร้อยของห้องเรียนให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย  และให้เด็กมีการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
 มาตรฐานที่ 7 การวิจัยทางการศึกษา
           คำว่า "การวิจัย"   ตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า  "Research"   Re   มีความหมายว่า  อีก   Search  แปลว่า  "การค้นหา"  ดังนั้นคำว่า "การวิจัย: Research" จึงแปลว่า การค้นหาแล้วค้นหาอีก ตัวแปร หมายถึง สิ่งที่ผู้วิจัยสนใจที่จะวัดเพื่อให้ได้ข้อมูลออกมาในรูปใดรูปหนึ่ง และคุณลักษณะของสิ่งต่างๆ ที่สามารถแปรเปลี่ยนค่าได้ เช่น เพศ แปรค่าได้เป็น เพศชายและเพศหญิง      
ประเภทของตัวแปร 
ตัวแปรเชิงปริมาณ(Quantitative Variables) เป็นตัวแปรที่แตกต่างกันในระหว่างพวกเดียวกันหรือค่าที่แปรออกมาแตกต่างกันออกไปตามความถี่จำนวนปริมาณมากน้อยหรือลำดับที่
ตัวแปรเชิงคุณภาพ(Qualitative Variables) เป็นตัวแปร ที่มีคุณสมบัติแตกต่างกันในแง่ของชนิดหรือประเภทโดยใช้ชื่อเป็นภาษาที่แสดงถึงคุณลักษณะของสิ่งต่าง ๆ
ตัวแปรค่าต่อเนื่อง (Continuous Variables) เป็นตัวแปรที่มีค่าต่อเนื่องกันตลอด เช่น ส่วนสูง
ตัวแปรค่าไม่ต่อเนื่อง(Discrete Variables) ตัวแปรประเภทนี้มีค่าเฉพาะตัวของมัน แยกออกจากกันเด็ดขาดวัดค่าเป็นจำนวนเต็ม
         ตัวแปรที่กำหนดได้(Active Variables) เป็นตัวแปรที่ผู้วิจัยสามารถกำหนดให้กับผู้รับการทดลองได้เช่น วิธีสอน
ตัวแปรที่จัดกระทำขึ้นไม่ได้(Attribute of Organismic Variables) เป็นตัวแปรที่ยากจะกำหนดให้ผู้รับการทดลองได้ตัวแปรเหล่านี้เป็นลักษณะของผู้รับการทดลอง
มาตรฐานที่ 8 เทคโนโลยีและนวัตกรรม
          เทคโนโลยีทางการศึกษา ว่าเป็นการพัฒนาและประยุกต์ระบบเทคนิคและใช้ร่วมกับกระบวนการทางการศึกษาจิตวิทยา ให้ผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเรียนรู้
นวัตกรรม คือ การนำวิธีใหม่ๆมาปฏิบัติหลังจากได้ผ่านการทดลอง หรือได้รับการพัฒนามาเป็นขั้น ๆ แล้ว  มี 3 ระยะ คือ
          1.ระยะการคิดค้น (Invention)
          2.ระยะการพัฒนา (Development) 
          3.ระยะนำมาปฏิบัติจริง
 แนวคิดพื้นฐานของนวัตกรรม ต้องคำนึงถึง
1. ความแตกต่างระหว่างบุคคล (Individual Different)
2. ความพร้อม (Readiness)  
3. การใช้เวลาเพื่อการศึกษา
         4. ประสิทธิภาพในการเรียน 
ลำดับการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา มี 9 ระยะ คือ
1. สร้างกรอบแนวคิด
2. วิเคราะห์หลักสูตร 
3. กำหนดวัตถุประสงค์ 
4. กำหนดคุณลักษณะสื่อการสอน 
5. การสำรวจทรัพยากรการผลิต
6. ออกแบบสื่อการสอน
7. วางแผนและดำเนินการผลิต
8. ตรวจสอบคุณภาพ
9. สรุปและประเมินผล 
นวัตกรรมในด้านต่างๆ แบ่งนวัตกรรมออก 5 ประเภท คือ
         1. นวัตกรรมทางด้านหลักสูตร เป็นการใช้วิธีการใหม่ๆ ในการพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมในท้องถิ่นและตอบสนองความต้องการสอนบุคคลให้มากขึ้น
         2. นวัตกรรมการเรียนการสอน เป็นการใช้วิธีระบบในการปรับปรุงและคิดค้นพัฒนาวิธีสอนแบบใหม่ๆ ที่สามารถตอบสนองการเรียนรายบุคคล
         3.  นวัตกรรมสื่อการสอน หมายถึง ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์เครือข่ายและเทคโนโลยีโทรคมนาคม นำมาใช้ในการผลิตสื่อการเรียนการสอนใหม่ๆ จำนวนมากมาย ได้แก่
คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI)
มัลติมีเดีย (Multimedia)
การประชุมทางไกล (Teleconference)
ชุดการสอน (Instructional Module)
วีดิทัศน์แบบมีปฎิสัมพันธ์ (Interactive Video)
         4.  นวัตกรรมการประเมินผล เป็นนวัตกรรมที่ใช้เป็นเครื่องมือเพื่อการวัดผลและประเมินผลได้อย่างมีประสิทธิภาพและทำได้อย่างรวดเร็ว
         5. นวัตกรรมการบริหารจัดการ หมายถึง การใช้นวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้สารสนเทศมาช่วยในการบริหารจัดการ เพื่อการ ตัดสินใจของผู้บริหารการศึกษาให้มีความรวดเร็วทันเหตุการณ์ ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก
          E-learning เป็นการเรียนผ่านสื่ออิเล็กทรอนิค สามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองได้ทุกคน ห้องเรียนเสมือนจริง อาศัยสื่ออิเล็คทรอนิก และคอมพิวเตอร์ มี 2 รูปแบบ คือ การศึกษาทางไกล และการจัดการศึกษาผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตสื่อมัลติมีเดีย เช่น ข้อความอิเล็คทรอนิก ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว
มาตรฐานที่ 9 ความเป็นครู
          ความสำคัญของวิชาชีพครู ครู คือ บุคคลที่สั่งสอนอบรมวิชาความรู้ต่าง ๆ  นอกจากนั้นแล้วครูจะต้องคอยดูแลเอาใจใส่ต่อสุขทุกข์ของศิษย์  ความเจริญก้าวหน้าของศิษย์และคอยปกป้องมิให้ศิษย์กระทำความชั่วต่าง ๆ อีกด้วย นอกจากนั้นครูเป็นบุคคลที่มีความสำคัญต่อสังคมและประเทศชาติอย่างยิ่งเพราะครูเป็นทั้งผู้สร้าง  และผู้กำหนดอนาคตของเยาวชน สังคมและประเทศชาติ  ให้พัฒนาไปในทิศทางที่ต้องการและถูกต้อง 




ขอบคุณข้อมูลจาก
http://education.dusit.ac.th/QA/articles/doc02.pdf
www.Youtube.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น